|
|
อยากสอบถามถึงทุกการศีกษาครับ
|
| |
|
|
|
 |
|
|
ขออภัย!! หากบางคำถามไม่สามารถตอบได้หรืออาจมีผิดพลาดบ้าง เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่รัสเซีย อยู่ประเทศไทยครับ..
00009 @ 07-05-2006- อยากสอบถามถึงทุกการศีกษาครับ
อยากทราบว่าทางสถานทูตหรือทางประเทศรัสเซียมีการจัดสอบชิงทุนสำหรับชาวต่างชาติบ้างไหมครับในระดับ ป.โทน่ะครับ....ถ้ามีต้องทำอย่างไรบ้างหรือติดต่อที่ไหน...แล้วถ้าผมจะต่อป.โท ด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ จะต่อที่เมืองไหน มหาลัยอะไรดีครับ...ขอบคุณครับ
ถามโดย คุณ id-seal  
(บทความมาให้อ่าน)
"ไทย-รัสเซีย" การศึกษาเพื่อ...สองแผ่นดิน
ประเทศไทยและรัสเซียมีสายสัมพันธ์สองแผ่นดินอันยาวนานมาก ในเชิงประวัติศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ราชวงศ์จักรี กับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ราชวงศ์โรมานอฟ มีความสัมพันธ์ดุจเครือญาติ เป็นมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการศึกษา
มีการเสด็จฯ เยือนระหว่างสองประเทศ และมีการรับรองอย่างสมพระเกียรติทั้งสองฝ่าย รัสเซียได้เข้าช่วยถ่วงดุลอำนาจช่วยเหลือประเทศสยามในยุคนั้นให้รอดพ้นการเป็นอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศส รัชกาลที่ 5 ได้ทรงส่งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนารถ พระราชโอรส ไปศึกษาวิชาทหารพร้อมกับ "นายพุ่ม" นักเรียนไทยอีกคนหนึ่ง โดยพระเจ้าซาร์ทรงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด มีการสถาปนาทางการทูต การเมือง และการศึกษา ที่ดำเนินไปด้วยไมตรีจิตยิ่ง
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในปี พ.ศ.2460 รัสเซียได้มีการปฏิวัติทางการเมือง เปลี่ยนจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นระบบคอมมิวนิสต์ พรรคบอลเชวิค ผู้นำในยุคนั้น นับแต่วลาดิเมียร์ เลนิน โจเซฟ สตาลิน เรื่อยมา ทำให้ประวัติศาสตร์ในช่วง 70 ปีเศษ ได้ห่างเหินไปมากระหว่างไทยกับรัสเซีย โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น (Cold War) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับรัสเซีย
กระทั่งมาถึงยุคประธานาธิบดีมิคาอิล กอร์บอชอฟ รัสเซียได้เปิดประเทศสู่ประชาธิปไตยมากขึ้นตามลำดับ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับรัสเซียเริ่มกลับมาดีขึ้นตามลำดับด้วยหลังสิ้นสุดสงครามเย็น และยิ่งแน่นแฟ้นและกลับมายิ่งใหญ่อีกคราวที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เดินทางมาประชุมเอเปค (APEC) ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ อันเนื่องด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลของรัชกาลที่ 9 ได้ทรงเชื้อเชิญประธานาธิบดีปูตินเป็นราชอาคันตุกะส่วนพระองค์ มีการต้อนรับอย่างอบอุ่นยิ่ง จนนำมาซึ่งการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสองในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล
วันที่ 15 ตุลาคม 2548 นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ไปเยือนประเทศรัสเซียอย่างเป็นทางการ และได้มีข้อตกลงเป็นเสมือน "ธง" ร่วมกัน ให้ปี พ.ศ.2548 เป็นปีของการศึกษาระหว่างไทย-รัสเซีย ในการปรับฟื้นสายสัมพันธ์ให้กลับมาแน่นแฟ้นดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา
สหพันธรัฐรัสเซียในปัจจุบันได้เปลี่ยนผ่านจากระบอบคอมมิวนิสต์มาเป็นเสรีประชาธิปไตยเกือบเต็มตัวแล้ว โดยรัสเซียมีประชากร 142.4 ล้านคน มีพื้นที่ 17,075,400 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมทั้งทวีปยุโรปและเอเชีย กรุงมอสโกเป็นเมืองหลวงที่มีประชากร 12 ล้านคน โดยประชาชนเป็นเชื้อชาติสลาฟ 72% นับถือคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ใช้สกุลเงินรูเบิล (1 รูเบิล=1.40 บาทไทย) รัสเซียยังเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ยูเรเนียม ป่าไม้ มีอุตสาหกรรมเคมี เครื่องบิน ผ้าขนสัตว์ และอื่นๆ
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในกรุงมอสโก คือจัตุรัสแดง ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมือง วิหารเซนต์บาซิล พระราชวังเครมลิน พิพิธภัณฑ์อาร์มเมอร์รี่แชมเบอร์ ระฆังใหญ่ที่สุดในโลก ป้อมปืนใหญ่ สถานีรถไฟใต้ดิน (Metro) ที่สวยงาม
นอกจากนี้ รัสเซียยังมีนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เมืองหลวงเก่าที่ได้ชื่อว่า "ราชินีแห่งยุโรป" เป็นเมืองหลวงเก่าอันยาวนานของรัสเซีย มีความสวยงามจับตา ด้วยการวางผังเมืองอย่างยอดเยี่ยม
ส่วนทางด้านการศึกษานั้น รัสเซียมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมายาวนาน อันเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศให้เจริญเติบโตต่อเนื่องตลอดเวลา
ระบบการศึกษาของรัสเซีย เริ่มจากการจัดการศึกษาก่อนวัยเรียน 3 ปี ถือเป็นสวัสดิการของรัฐหรือนายจ้างที่ต้องให้แก่บรรดาแรงงาน จากนั้นเป็นระบบการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี แบบให้เปล่า โดยมีการเน้นทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นแกนกลางของการเรียนรู้ที่สำคัญ ต่อด้วยระบบเปิดกว้างทางด้านอาชีวศึกษา 2 ปี สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานระดับกลางได้ เป็นได้ทั้งช่างยนต์ งานบริการ พนักงานขับรถ และอื่นๆ
แต่เยาวชนรัสเซียจำนวนไม่น้อยที่นิยมเรียนต่อสายมัธยมปลายเพื่อไปศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา (Eigher Education) ซึ่งมีมากกว่า 500 แห่งสถาบัน โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ 1) สถาบัน Institution เฉพาะด้านที่ดำเนินการสอนสาขาใดสาขาหนึ่งเป็นพิเศษ เช่น กฎหมาย เภสัชกรรม หรือการเกษตร 2) วิทยาลัยโพลีเทคนิค ที่มีความหลากหลายสาขาวิชามากยิ่งขึ้น ไม่เน้นด้านใดโดยเฉพาะ 3) มหาวิทยาลัยจะดำเนินการสอนและวิจัยควบคู่กันไป เน้นสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสำคัญ
รัสเซียมีมหาวิทยาลัยมากกว่า 42 แห่ง โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงมอสโก และนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก โดยมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ มีคุณภาพมาก เป็นที่นิยมเรียนทั้งเยาวชนในประเทศ และที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งการจัดเก็บค่าเล่าเรียนจะถูกมาก และแตกต่างกันไปตามสาขาวิชาเรียน ตั้งแต่ 2,000-5,000 $ ต่อปี นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายบังคับว่ามหาวิทยาลัยไม่สามารถเก็บค่าเล่าเรียนเกิน 40% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมด เนื่องจากงบประมาณส่วนใหญ่รัฐบาลกลางจะเป็นผู้สนับสนุนอยู่แล้ว
นักเรียนรัสเซียที่มีผลการเรียนยอดเยี่ยม เป็นผู้มีความสามารถพิเศษจะได้เข้าสู่โปรแกรมการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง และได้รับการสนับสนุนให้เรียนฟรีจนจบระดับปริญญาเอก โดยโปรแกรมการศึกษาพิเศษเฉพาะทางจะเน้นทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี และอื่นๆ ที่เป็นจุดแข็งและเป็นต้นแบบไปทั่วโลก
กล่าวถึงนักศึกษาไทยในมหาวิทยาลัยรัสเซีย ยังมีจำนวนเพียง 64 คน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับนักศึกษาจากประเทศอื่นๆ โดยชาติที่ส่งนักศึกษาเข้าไปเรียนจำนวนมาก ได้แก่ จีน เวียดนาม พม่า มาเลเซีย เกาหลีใต้ ซึ่งแต่ละชาติจะมีมากถึง 3,000-5,000 คน โดยที่วิทยาการในรัสเซียจะเน้นแก่นสาระของวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ทางด้านคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และอื่นๆ การศึกษาที่นี่เปิดกว้างมาก เป็นวิทยาการสากล ไม่มีปิดกั้น
ช่วงเวลาที่ผ่านมาถือว่าประเทศไทยยังตื่นตัวเรื่องการศึกษาต่อในประเทศรัสเซียค่อนข้างต่ำ เช่น ในระบบรัฐต่อรัฐ ทางรัสเซียยังให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาไทยเพียงปีละ 30-50 คน โดยกระจายไปทุกมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ รัฐบาลไทยได้ส่งนักเรียนไทยในโครงการ 1 ทุน 1 อำเภอ (ODOS) ไปเรียนเพียง 10 คน โดยได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็น 1 ใน 10 ของสาขาวิชาวิศวกรรมการบิน ฟิสิกส์ ป่าไม้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปี จะมีนักศึกษาไทยไปเรียนในรัสเซียให้ได้ 200 คน โดยเฉพาะในสาขาที่ประเทศไทยยังขาดแคลนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการสอนภาษารัสเซีย ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา วิศวกรรมการบิน ยานยนต์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ปรัชญา ดนตรี แพทย์ ฯลฯ โดยช่วงเริ่มต้นนี้รัฐบาลได้อนุมัติเงินสนับสนุนจากรายได้การจำหน่ายสลากพิเศษให้แก่นักศึกษาที่ได้รับทุนรัฐบาลรัสเซียอีกคนละ 500$ ในปีนี้เป็นปีที่สองรวม 33 คน เพื่อให้นักศึกษามีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในระหว่างเรียนที่มหาวิทยาลัยต่างๆ
ผู้เขียนได้ไปติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของนักศึกษาไทยพบว่า มหาวิทยาลัยมอสโกเคยติดมหาวิทยาลัยอันดับสองของโลก มหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก มีความโดดเด่นมากทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาจารย์ที่สถาบันนี้เคยได้รับรางวัลโนเบิลถึง 10 คน ศาสตราจารย์ผู้คิดตารางธาตุเคมีก็สอนอยู่ที่นี่
นักศึกษาไทยที่เรียนในมหาวิทยาลัยการบิน ยืนยันว่าการเรียนการสอนที่นี่เน้นเรื่องทฤษฎีขั้นสูงควบคู่กับการทำแล็บตลอดเวลา การเรียนระดับปริญญาโทและเอก จะเน้นการทำวิจัยเพื่อหาทฤษฎีใหม่ๆ และที่น่าสนใจคือ รัสเซียยินดีรับนักศึกษาไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะนักศึกษาไทยตั้งใจเรียน มุ่งมั่น ไม่ขาดเรียน และทำงานหนัก
สำหรับการวางแผนส่งนักเรียนไทยในโครงการ 1 ทุน 1 อำเภอ จากเดิมรุ่นแรก 10 คน เพิ่มมาเป็น 40-50 คน รวมทั้งการสนับสนุนนักศึกษาที่ได้รับทุนรัฐบาลรัสเซียอีกจำนวน 60-70 คน ในเวลา 2 ปี จึงเป็นเรื่องที่สร้างคุณูปการแก่ประเทศไทยมหาศาลในอนาคตอันใกล้ เพราะมหาวิทยาลัยในรัสเซียต่างเน้นงานศึกษาวิจัยค้นคว้านวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีค่อนข้างมาก และเป็นก้าวใหม่ๆ ของวิทยาการสมัยใหม่
ดังนั้น ระดับความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยของไทยย่อมมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หรือสถาบันเทคโนโลยีต่างๆ ควรจะต้องสานต่อความร่วมมือโครงการแลกเปลี่ยนการศึกษาดูงาน งานวิจัยทวิภาคี การส่งอาจารย์ไปศึกษาต่อ รวมไปถึงการฝึกงาน
สิ่งที่เป็นประโยชน์โดยตรงคือ ระบบหลักสูตรการสอนด้านวิทยาศาสตร์พื้นฐานระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ที่ประเทศไทยยังล้าหลัง และมีเนื้อหาที่สอนในระดับที่ยังไม่พอเพียง ช้ากว่ารัสเซียไม่น้อยกว่า 20-30 ปี การพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาในวิชาคณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา ยังควรต้องมาศึกษาระบบการจัดเนื้อหา ตำราเรียน ห้องปฏิบัติการ และวิธีการสอน จากสถาบันการศึกษาในรัสเซีย
นักศึกษาไทยในรัสเซียระบุว่า การเรียนทฤษฎีและเนื้อหาวิชาเหล่านี้ในระดับปริญญาตรี และบางวิชาระดับปริญญาโทนั้น นักเรียนในรัสเซียสามารถเรียนจบแล้วในระดับมัธยมศึกษา
ฉะนั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยควรส่งเสริมคือ การให้ทุนการศึกษาแก่ครูอาจารย์ไทย นักศึกษาสายครุศาสตร์และศึกษาศาสตร์ ให้ไปศึกษาต่อในสาขาที่ขาดแคลน โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมกันนั้นควรส่งเด็กไทยไปเรียนในโรงเรียนรัสเซียในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อเรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม ภาษา การเมืองการปกครอง ประวัติศาสตร์ อารยธรรมยุโรป และอื่นๆ จนสามารถเข้าใจถึงความเป็นรากเหง้าของชาวรัสเซียได้อย่างถ่องแท้ถูกต้อง
ทั้งนี้ เพราะปัจจุบันประชาชนรัสเซียเดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ในจำนวนประชากร 142.4 ล้านคน มีจำนวน 10% ที่มีฐานะร่ำรวยติดอันดับโลกหลายคน เศรษฐกิจกำลังขยายตัวในอัตราร้อยละ 7.3 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในรัสเซีย (GDP) 428.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ค.ศ.2004) รายได้ประชาชาติต่อหัว 2,992 $
ที่สำคัญคนรัสเซียชอบและรักเมืองไทยบอกว่า "Warm Sea, Nice Citizen" สมกับที่ประธานาธิบดีปูติน เชิญชวนให้ชาวรัสเซียอย่างน้อยต้องไปประเทศไทยหนึ่งครั้ง โดยปี พ.ศ.2545 มูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นจาก 650 ล้าน$ เป็น 1.6 พันล้าน$ และในปี พ.ศ.2548 คาดว่าช่วงสิ้นปีจะถึง 2 พันล้าน$ เฉพาะอย่างยิ่งด้านการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ 30-40 ทุกปี โดยในอีก 5 ปีข้างหน้า คาดว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 พันล้าน$
นอกจากนี้ รัสเซียมีทรัพยากรแลกเปลี่ยนในเชิงการค้ากับไทยเป็นอย่างมาก มีทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่ธาตุ รวมทั้งผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ส่วนประเทศไทยก็เป็นแหล่งผลิตอาหารของโลก สามารถส่งสินค้าไก่แช่แข็ง กุ้ง เสื้อผ้ากันหนาว สินค้าโอท็อป ผลไม้ไทย ข้าวหอมมะลิ และอื่นๆ
กล่าวได้ว่า ประเทศรัสเซียยังมีลู่ทางการค้า การท่องเที่ยว การศึกษา และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ตลอดจนวิทยาการสมัยใหม่อีกมากมาย การวางแผนระยะยาวโดยใช้การศึกษาเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทย-รัสเซีย จะช่วยให้ประชาชนทั้งสองประเทศได้พบปะค้าขายกันมากยิ่งขึ้น
นี่คือความงดงามของประวัติศาสตร์ที่ฟื้นกลับมาระหว่างไทยกับรัสเซีย ที่ใช้การศึกษาเป็นสื่อกลางของความเข้าใจของมนุษยชาติ ซึ่งอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
---------------------------------------------
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลรัสเซียได้แสดงเจตนารมณ์ที่แน่วแน่ในการส่งเสริมการศึกษาระหว่างกันด้วยการเพิ่มทุนให้นักศึกษาไทยสามารถไปเรียนต่อในระดับปริญญาตรี-ปริญญาเอกด้วยทุนของรัฐบาลรัสเซียได้ถึง 40 ทุน แต่ว่า ยังมีนักศึกษาไทยให้ความสนใจน้อย ด้วยเหตุผลที่ว่า ภาษารัสเซียมีความยากลำบากในการเรียน ภาวะความเป็นอยู่ในรัสเซียยากลำบาก และเงินช่วยเหลือที่รัฐบาลรัสเซียให้แก่นักเรียนทุนนั้นไม่เพียงพอต่อการยังชีพ เมื่อเทียบกับทุนที่รัฐบาลของประเทศตะวันตกให้ อย่างไรก็ดี การไปเรียนที่รัสเซียเป็นการสร้างโอกาสให้กับตนเอง เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศที่มีอิทธิพลในเวทีโลก และความรู้ความเชี่ยวชาญของรัสเซียยังไม่ได้รับการถ่ายทอดไปยังนักศึกษาไทยมากเท่าที่ควร การที่เราจะเป็นผู้บุกเบิกในการไปแสวงหาความรู้จากรัสเซียในด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านวิทยาศาสตร์จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่มีอนาคตกว้างไกลสำหรับผู้ที่ชอบทางเลือกใหม่ๆ
รายละเอียดทุนการศึกษาของรัสเซียสำหรับนักศึกษาไทยประจำปีการศึกษา 2549-2550 จำนวน 40 ทุน มีดังนี้
1. ทุนการศึกษาในระดับปริญญาตรี-โท
1.1 จำนวนนักศึกษาที่จะได้รับการอนุมัติให้เข้าศึกษาต่อในสาขาต่างๆ ในสถาบันการศึกษาระดับสูงของรัสเซียเป็นดังนี้
1.1.1 สาขากฎหมาย 1 คน
1.1.2 สาขารัฐศาสตร์ 1 คน
1.1.3 สาขาการแพทย์ไม่เกิน 3 คน
ทั้งนี้ การศึกษาทางด้านศิลปะ วัฒนธรรมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสถาบันการศึกษาชั้นสูงของรัสเซียสำหรับนักศึกษาต่างชาติสามารถกระทำได้ด้วยการใช้ทุนส่วนตัวหรือทุนของรัฐบาลไทยเท่านั้น
1.2 นักศึกษาที่สนใจจะต้องจบการศึกษามัธยมปลายและควรจะมีคะแนนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของคะแนนเต็มในวิชาหลัก และมีคะแนนสอบผ่านในวิชารองต่างๆ และระยะเวลาต่อเนื่องระหว่างช่วงที่จบการศึกษาและการเข้าศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาระดับสูงของรัสเซียไม่ควรเกินกว่า 3 ปี
1.3 ผู้สมัครควรมีอายุไม่เกิน 25 ปี
2. ทุนการศึกษาในระดับปริญญาเอกขึ้นไป
2.1 ผู้สมัครจะต้องจบการศึกษาระดับปริญญาโท หรือมีประสบการณ์ทำงานในสาขาที่เกี่ยวข้อง
2.2 ผู้สมัครต้องมีอายุไม่เกิน 35 ปี
3. เอกสารประกอบการขอสมัครรับทุน
3.1 ใบสมัคร พร้อมแจ้งหมายเลขรหัสชื่อเต็มของสาขาวิชาที่ต้องการศึกษา
3.2 สำเนาปริญญาบัตรซึ่งผ่านการรับรองเอกสารแล้ว และปรากฏรายละเอียดของวิชาที่เคยศึกษาและได้รับการประเมินผล
3.3 ใบรับรองแพทย์จากสถาบันการแพทย์ทางการ พร้อมใบรับรองว่าปลอดจากโรคเอดส์
3.4 สำเนาสูติบัตรซึ่งผ่านการรับรองเอกสาร
3.5 สำเนาหน้าแรกของหนังสือเดินทางซึ่งมีรายละเอียดส่วนบุคคลต่างๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้กรอกหนังสือเชิญของหน่วยราชการของรัสเซียเพื่อใช้ในการขอรับการตรวจลงตราจาก สอท. รัสเซียในประเทศไทย และต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 1 ปี 6 เดือน
3.6 รูปถ่ายขนาด 4X6 จำนวน 8 รูป
ผู้สมัครขอรับทุนทั้งหมดจะต้องแนบเอกสารประกอบพร้อมคำแปลเป็นภาษารัสเซีย อังกฤษ หรือฝรั่งเศส
สำหรับผู้สมัครในระดับปริญญาเอกขึ้นไป จะต้องสำเนาใบปริญญาบัตรซึ่งผ่านการรับรองเอกสารแล้ว ปรากฏรายละเอียดของวิชาที่เคยศึกษาและได้รับการประเมินผลแล้ว และต้องเขียนบทความความยาวประมาณ 2 หน้ากระดาษพิมพ์ เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการศึกษา ค้นคว้า วิจัย ทั้งนี้ หากผู้สมัครเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาจากรัสเซียจะต้องเขียนบทความเป็นภาษารัสเซีย
4. รายละเอียดอื่นๆ
4.1 เอกสารการสมัครรับทุนสามารถส่งตรงไปยังสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย หรือส่งไปยังกระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ของสหพันธรัฐรัสเซีย โดย ต้องมีหนังสือนำและชื่อของผู้สมัครพร้อมรหัสสาขาวิชาเป็นภาษารัสเซีย ก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2549 ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการและวิทยาศาสตร์ของสหพันธรัฐรัสเซียย้ำว่า การคัดเลือกผู้สมัครรับทุนดังกล่าวควรจะเป็นการดำเนินการร่วมกันระหว่างองค์กรทางการศึกษาของไทยและเอกสารที่ไม่ครบถ้วนหรือถูกต้องตามที่กำหนดไว้จะไม่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการคัดเลือก
4.2 ผู้สมัครในระดับปริญญาตรีและโทควรจะเดินทางไปถึงรัสเซียระหว่างวันที่ 1-15 กันยายน 2549 เพื่อเข้าหลักสูตรเตรียมปริญญา ส่วนผู้ที่ได้รับทุนในระดับปริญญาเอกขึ้นไป ควรเดินทางไปถึงรัสเซียก่อนวันที่ 1 ธันวาคม 2549
4.3 ผู้สมัครจะต้องมีสุขภาพและพลานามัยสมบูรณ์เพื่อให้สามารถเผชิญกับสภาวะอากาศที่รุนแรงของรัสเซียได้ ทั้งนี้ หากฝ่ายรัสเซียตรวจสอบพบว่า ผู้ที่ได้รับทุนรายใดมีปัญหาสุขภาพไม่ดีเพียงพอ ผู้รับทุนรายนั้นจะต้องถูกส่งตัวกลับประเทศโดยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
4.4 หน่วยราชการของรัสเซียเป็นผู้กำหนดสถาบันการศึกษาและเมืองที่นักศึกษาที่ได้รับทุนจะต้องไปศึกษา
4.5 ฝ่ายรัสเซียไม่รับผิดชอบการพำนักในรัสเซียของสมาชิกครอบครัวของผู้ที่ได้รับทุน
5. รายละเอียดของค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ฝ่ายรัสเซียรับผิดชอบ
5.1 รัฐบาลรัสเซียรับผิดชอบค่าใช้จ่ายประจำเดือน ในระดับเดียวกับนักเรียนทุนสัญชาติรัสเซีย กล่าวคือ ให้เงินช่วยเหลือประจำเดือนคนละ 600 รูเบิ้ล (ประมาณ 21 ดอลลาร์สหรัฐ)/เดือน สำหรับผู้ที่ได้รับทุนในระดับปริญญาตรี-โท และให้เงินช่วยเหลือประจำเดือนคนละ 1,500 รูเบิ้ล (ประมาณ 53 ดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับผู้ที่ได้รับทุนในระดับปริญญาเอกขึ้นไป
5.2 การจัดหาที่พักในหอพักนักศึกษาในมาตรฐานเดียวกับนักศึกษารัสเซีย
6. ข้อแนะนำในการเตรียมตัวสำหรับผู้ที่ได้รับทุน
6.1 มีเสื้อผ้าและรองเท้าที่เหมาะสมกับทุกฤดูกาลของรัสเซีย
6.2 มีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการอำนวยความสะดวกที่สนามบินและจัดการเดินทางจากกรุงมอสโกไปยังสถานที่ที่ศึกษา ประมาณ 150 ดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ ฝ่าย
รัสเซียจะไม่รับผิดชอบค่าเดินทางจากกรุงมอสโกไปยังสถานที่ศึกษา หรือการส่งผู้ที่ได้รับทุนกลับประเทศหลังจากจบการศึกษาแล้ว
6.3 เตรียมเงินสำหรับการประกันสุขภาพประมาณ 200 ดอลลาร์สหรัฐ/ปี
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย หรือ สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำสหพันธรัฐรัสเซีย
นายชัชชัย ชูชม
เลขานุการเอก
-------------------------------------------
ส่วนเรื่องทุนนี่ เค้าจะออกค่าเรียนให้หมด รวมทั้งค่าเรียนภาษารัสเซียก่อน 1 ปีด้วยครับ และก็คิดค่าหอตามอัตารเดียวกับนศ.รัสเซีย ไม่ทราบว่าเท่าไหร่แน่ๆ ครับ แต่ประมาณ 1000-3000 บาทนี่แหละครับ (ถ้าผิดขออภัย) และก็ให้ค่าใช้จ่ายรายเดอืน 20 USD ครับ ก็เค้าแนะนำว่าให้เอาไปใช้จ่ายส่วนตัวอีกเดือนละ 100 USD ครับ ส่วนค่าเครื่องบินขาไปและกลับ รวมทั้งค่าเดินทางอื่นๆเราต้องออกเองครับ
ถ้าสนใจไปเอารายละเอียดได้ที่สถานฑูตรัสเซีย อยู่ถ.ทรัพย์ ย่อยจาก ถ.สุรวงศ์อีกทีครับ หรือไม่ก็ไปที่ก.ตปท ใกล้ๆคณะวิทย์ มหิดลครับ เพราะมีทุนรัฐบาลรัสเซียอยู่ครับ ปิดรับสมัคร 10 พค.นี้มั้งครับ ไม่แน่ใจวันที่ครับ
สถานฑูตรัสเซียประจำประเทศไทย
ที่อยู่ 78 Sup Rd., Surawong,Bangrak,Bangkok 10500
โทร : 02-234-2012 (แผนกวีซ่า) , 02-234-9824
แฟ็กซ์ : 02-268-1169
เอกอัครราชฑูตรัสเซียประจำประเทศไทย-นาย Yevgeney Afanasiev (ตั้งแต่ปี พ.ศ.2548)
โดย: anacondom [IP: 203.144.197.39]
ตอบโดย |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
อาร์เมเนีย (Armenia)
อาร์เซอร์ไบจาน (Azerbaijan)
เบลารุส (Belarus)
จอร์เจีย (Georgia)
คาซัคสถาน (Kazakhstan)
คีร์กิซสถาน (Kyrgyzstan)
มอลโดวา (Moldova)
รัสเซีย (Russia)
ทาจิกิสถาน (Tajikistan)
เติร์กเมนิสถาน (Turkmenistan)
ยูเครน (Ukraine)
อุซเบกิสถาน (Uzbekistan)
